วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บทความเรื่อง เลี้ยงลูกสาวอย่างไรในยุคอันตราย



 คำถาม วิธีการเลี้ยงลูกผู้หญิงในสถานการณ์ปัจจุบัน นักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่ตามบทความข้างล่างนี้  ถ้าเห็นด้วยมีเหตุอย่างไร  และถ้าไม่เห็นด้วยมีเหตุผลอย่างไร อธิบายพร้อมยกตัวอย่างและแสดงความคิดเห็นประกอบคำอธิบายสนับสนุนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็น ตอบลงในกระดาษ A4 ส่งอาจารย์

           "เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก" คำกล่าวนี้ยังคงเป็นเรื่องจริง ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ดังจะเห็นได้จาก ภัยของคนเกิดเป็นหญิงนั้นล้วนมีอยู่รอบตัว เช่น อาจถูกล่อลวง ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกเอารัดเอาเปรียบในการทำงาน ฯลฯ


ดังนั้น สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกสาวทุกท่านการเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างเหมาะสม และเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และในวันนี้เราจึงหาแนวทาง 8 ข้อที่เห็นว่าเข้ากับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันมาแบ่งปันกันค่ะ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ลองติดตามกันเลยค่ะ
      
       1. สร้างทัศนคติเกี่ยวกับรูปลักษณ์ที่เหมาะสม
      
       มีเด็กหญิงจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับการปลูกฝังในเรื่องของรูปลักษณ์จากผู้ปกครองว่าความงามที่แท้จริงนั้นไม่ต้องอาศัยเครื่องสำอางก็ได้ เมื่อไม่เข้าใจก็ทำให้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นหมกมุ่นอยู่กับความงามที่มีแต่จะทำให้เสียเวลา และสุขภาพ เช่น ต้องควบคุมอาหารเพราะห่วงอ้วน อยากตาโตก็ต้องหาคอนแทค เลนส์มาใส่ อยากดูแก้มสีชมพูป่องๆ ก็ต้องหาที่ปัดแก้มมาปัด บ้างก็ลงทุนจัดฟันปลอมๆ หรือสั่งซื้อวิตามินช่วยให้ผิวขาวที่เป็นอันตรายมาทาน พอคิดว่าสวยแล้ว จะใส่ชุดนักเรียนก็เลยต้องดัดแปลงบางจุดให้สั้น จะได้มีโอกาสโชว์ความงามที่ลงทุนไป ไหนจะทาเล็บ แต่งหน้าทาปาก สารพัดจะทำเพราะคิดว่า ทำแล้วตนเองจะดูดี (แบบมีอันตราย)
      
       ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า รูปลักษณ์ดังที่กล่าวในย่อหน้าข้างต้นเป็นรูปลักษณ์ที่เด็กเลียนแบบมาจากสื่อต่างๆ เช่น นิตยสารดารา นักแสดง นางแบบคิกขุอาโนเนะ แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังการถ่ายทำนั้น ทีมงานนิตยสารต้องตัดต่อ ลบรอยย่น จุดด่างดำให้กับดารานางแบบไม่รู้เท่าไร
      
       ในความเป็นจริงนั้น เด็กผู้หญิงสามารถสวยได้โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแม้แต่น้อย หากสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูกส่งเสริมให้ลูกไปในแนวทางดังกล่าว พ่อแม่ควรกระตุกลูกเอาไว้บ้าง ด้วยการให้คำยืนยันกับลูกๆ ว่า พวกเธอนั้น "สวยในสายตาของพ่อแม่" แล้ว อย่างน้อยก็ช่วยให้เธอไม่หลงยึดติดกับความงามที่สื่อโฆษณายัดเยียดให้มากเกินไป
      
       2. เป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูกสาว
      
       สำนวนดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ (และพ่อ) คงเหมาะกับข้อนี้ เพราะลูกสาวก็มักจะเลียนแบบผู้เป็นแม่ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจอยู่แล้ว ซึ่งในฐานะของแม่ ก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ และบทบาทต่างๆ ที่ผู้หญิงควรทำได้ดี ด้านผู้เป็นพ่อก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน หากคุณแสดงให้ลูกเห็นถึงความไม่เท่าเทียมในบ้าน (เช่น บางครอบครัวยกให้พ่อเป็นใหญ่ และมักกดขี่ภรรยา) ลูกที่คุณรักก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้นไปโดยปริยาย ซึ่งคุณคงไม่ชอบใจแน่ หากในอนาคตต้องมาเห็นลูกตัวเองยอมเป็นเบี้ยล่างให้กับสามีของพวกเธอ เพราะเธอเห็นมาโดยตลอดว่า ที่บ้านของเธอก็เป็นแบบนี้
      
       นอกจากพ่อและแม่จะเป็นต้นแบบให้กับลูกสาวแล้ว การหาต้นแบบผู้หญิงเก่งให้ลูกก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยอาจจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท ที่เก่ง และประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อให้ลูกได้ทำความรู้จัก และเรียนรู้ถึงคุณลักษณะที่ดีภายในตัวของผู้หญิงเหล่านั้น
      
       3. มีเวลาให้กับลูก
      
       เปิดโอกาสให้ลูกคุย ซักถาม เล่าเรื่องต่างๆ กับพ่อแม่เสมอ หรือให้ความมั่นใจว่า ลูกสามารถคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเหนียวแน่นให้มากที่สุด


       4. อย่านำค่านิยมทางสังคมมากดดันลูก
      
       เด็กควรมีหนทางการเติบโตในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ไม่จำเป็นว่าลูกสาวต้องเรียนในโรงเรียนสตรีเก่าแก่จึงจะเป็นเด็กหญิงที่เพียบพร้อม และประสบความสำเร็จในชีวิต หรือต้องเรียนพิเศษในสถาบันนั้นโน้นนี้ หรือต้องเล่นเปียโนเป็น ฯลฯ หรือแม้กระทั่ง ต้องสอบเอนทรานซ์ติดคณะเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ ให้เด็กเป็นแบบที่เด็กต้องการจะเป็น น่าจะทำให้เขาเติบโตเป็นหญิงสาวที่มีความสุขได้ดีกว่า
      
       5. ให้เธอเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเอง
      
       "คุณค่าในตัวเอง" เป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมี จะมีน้อยหรือมากก็ควรต้องมี พ่อแม่สามารถสร้างสิ่งนี้ให้กับลูกได้โดย พยายามชื่นชมเมื่อเธอประสบความสำเร็จ แสดงให้เธอรู้ว่าเธอนั้นมีความพิเศษในตัวเอง และเธอมีคุณค่ากับคุณมากแค่ไหน
      
       6. สอนให้ลูกสาวยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง
      
       การสอนให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ชายที่มีฐานะ ชีวิตจะได้สบาย ดูจะเป็นการสอนของแม่ที่อยู่ในละครหลังข่าวมากกว่าจะเป็นคำสอนของแม่ๆ ในชีวิตจริง เพราะในความเป็นจริงแล้ว สอนให้ลูกสาวยืนได้ด้วยตัวเองนั้นเจ๋งกว่าเป็นไหนๆ การสอนให้ลูกสาวยืนได้ด้วยตัวเองนั้นอาจต้องลองส่งภารกิจต่างๆ ให้เธอได้จัดการตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่ต้องแน่ใจด้วยว่าภารกิจเหล่านั้นเหมาะสมกับวัยของลูกด้วย ลองเป็นฝ่ายดูลูกสาวคนดีจัดการกับภารกิจเบื้องหน้า และคอยให้การสนับสนุนจนเธอทำสำเร็จ เท่านี้คุณก็มีโอกาสจะมีลูกที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองเพิ่มขึ้นแล้ว
      
       7. หลีกเลี่ยงความเชื่อทางสังคม
       
       ผู้หญิงมักเก่งภาษามากกว่าคณิตศาสตร์ ผู้หญิงมักเล่นกีฬาไม่ค่อยเก่ง ผู้หญิงมักถนัดท่องจำมากกว่า ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่มักพบข้อความเหล่านี้ได้ทั่วทุกแห่ง แต่ไม่ควรยอมให้ความเชื่อเหล่านี้มาผูกมัดความสามารถของลูก หากลูกอยากลองเล่นกีฬา ก็น่าสนับสนุน หากลูกชอบทำโจทย์คณิตศาสตร์ ก็ยิ่งดี และหากเธอจะเลือกอนาคตโดยสนใจในสาขาอาชีพที่ไม่ใช่ทางเลือกของผู้หญิงส่วนมาก ก็ให้การสนับสนุนลูกในแนวทางนั้นดู เพราะในอนาคตกว่าที่ลูกจะเรียนจบ มันอาจกลายเป็นอาชีพที่เปิดโอกาสให้กับผู้หญิงมากขึ้นแล้วก็ได้
      
       8. สร้างทัศนคติเกี่ยวกับการมีครอบครัวที่เหมาะสม
      
       การมีชีวิตคู่ต้องการความเข้มแข็งทางจิตใจ หากลูกสาวมีความรักที่ไม่เหมาะสม เช่น รักคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว หรือต้องเผชิญกับการทำร้ายร่างกาย กดขี่ต่างๆ ลูกสาวก็ควรแกร่งมากพอที่จะโบกมือลาจากสถานการณ์ดังกล่าว เพราะในปัจจุบัน มีผู้หญิงจำนวนมากที่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ ทางที่ดีคือต้องเป็นแบบอย่างทางครอบครัว และสอนให้ลูกเข้มแข็งพอที่จะตัดใจ โดยเชื่อมั่นว่ามีชีวิตรักที่ดีรออยู่ในอนาคตอย่างแน่นอน

 ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

บทความว่าด้วยการลงโทษนักเรียนนักศึกษา

.          คำถาม   เมื่อนักศึกษาอ่านบทความนี้แล้วให้แสดงความคิดเห็นว่า  การลงโทษนักเรียนนักศึกษา ครูควรยึดหลักอะไรเป็นที่ตั้ง  และในภาพเป็นจริงแล้วควรที่จะมีขั้นตอนทำอย่างไรที่เห็นว่าถูกต้องและปลอดภัย  ให้นักศึกษาสรุปและตอบคำถามดังกล่าวนี้ลงในกระดาษ A4 และส่งอาจารย์ด้วย


        การลงโทษมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้หลาบจำ และไม่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นอีก โดยต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ถูกต้องดีงามตามที่สังคม กำหนด แนวคิดของจุดประสงค์ของการลงโทษยังคงเป็นอยู่ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการที่ เปลี่ยนไป แต่จุดประสงค์หลักยังไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นการลงโทษกับประชาชนทั่วไป หรือการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา
       วิทยาการด้านการพิจารณาลงโทษได้ พัฒนาไปมาก มีการศึกษาวิจัยถึงระดับปริญญาเอก โดยสาระสำคัญต้องการให้การลงโทษเกิดประโยชน์กับสังคม และปัจเจกบุคคลมากที่สุด จะเห็นได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนวิธีการลงโทษจากวิธีที่ใช้การทำร้ายร่างกายและ จิตใจ มาสู่การแก้ไขพฤติกรรม และการจำกัด หรือกักขัง ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมหรือผู้อื่น
 การลงโทษนักเรียนนักศึกษา
       แนวคิด ว่าการลงโทษเป็นความจำเป็นในการสร้างคนให้มีคุณภาพ ถึงกับมีคำกล่าวว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” และเมื่อเอ่ยถึงคำว่า “ไม้เรียว” เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง หรือ เป็นเพียงพนักงานธรรมดา ๆ ที่เคยผ่านการอบรมบ่มเพาะจากโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษามาอย่างเข้มข้นคงได้เคยสัมผัสและรู้จักรสชาติของไม้เรียว เป็นอย่างดี
       ถ้ามองย้อนกลับไปถึงนัยของการทำโทษนักเรียน นักศึกษาในอดีตดูเหมือนจะถูกทำโทษด้วยไม้เรียวกันเป็นประจำจนเป็นเรื่องปกติ และเมื่อมีงานเลี้ยงรุ่นของบรรดาศิษย์เก่าของโรงเรียนต่าง ๆ ที่มารวมตัวกันต่างนำเรื่องการโดนไม้เรียว หรือการทำโทษต่าง ๆ เช่น เดินเป็ด ขนมจีบ สองเกลี่ยวบิดพุง คาบไม้บรรทัด ขว้างด้วยแปลงลบกระดาน วิ่งรอบสนาม ล้างส้วม ทำงานหนักอื่น ๆ และที่หนักมากที่สุดคือ การเฆียนตีหน้าเสาธง หรือหน้าชั้นเรียน เรื่องการลงโทษและถูกทำโทษด้วยวิธีแปลก ๆ นี้เมื่อเวลาผ่านไป ได้ถูกนำมาพูดกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งถ้าครูคนไหนดุ หรือทำโทษบ่อยมาก ๆ ก็จะเป็นที่จดจำของบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งอาจเป็นทั้งที่รักและที่เกลี่ยดชังด้วยก็มี การทำโทษด้วยการใช้ไม้เรียว เฆี่ยน ตี หรือ การทำโทษด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เกิดเป็นความบอบช้ำไม่เฉพาะด้านร่างกายเท่านั้นยังส่งผลต่อจิตใจของผู้ เรียน และผู้ปกครองอีกด้านหนึ่งด้วย
       จึงมีคำถามตามมาว่าครูควรจะ ลงโทษแบบไหน ถึงจะเรียกว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ครูควรมีจิตสำนึกของความเป็นครูอันเป็นพื้นฐานที่แข็งแรง เพราะหากมีการทำโทษด้วยจิตสำนึกดังกล่าวถึงแม้ว่าจะออกมาในรูปแบบของการ เฆี่ยนตี แต่ก็ด้วยความมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนหลาบจำ ไม่ต้องการให้มีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของสังคมอีก ปัจจุบันด้วยจิตสำนึกของครู (บางคน) ขาดหายไปจึงเกิดกรณีเป็นข่าวในเรื่อง การทำโทษนักเรียนหรือ นักศึกษาเกินกว่าเหตุ และเมื่อพิจารณาแล้วการทำโทษในบางครั้งแทบจะไม่มีเยื่อใยความผูกพันระหว่าง ความเป็นครูกับศิษย์ ให้เห็นเลย
       แหล่งที่มา :  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์