วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บทความเรื่อง เลี้ยงลูกสาวอย่างไรในยุคอันตราย



 คำถาม วิธีการเลี้ยงลูกผู้หญิงในสถานการณ์ปัจจุบัน นักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่ตามบทความข้างล่างนี้  ถ้าเห็นด้วยมีเหตุอย่างไร  และถ้าไม่เห็นด้วยมีเหตุผลอย่างไร อธิบายพร้อมยกตัวอย่างและแสดงความคิดเห็นประกอบคำอธิบายสนับสนุนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็น ตอบลงในกระดาษ A4 ส่งอาจารย์

           "เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก" คำกล่าวนี้ยังคงเป็นเรื่องจริง ไม่ว่ายุคใดสมัยใด ดังจะเห็นได้จาก ภัยของคนเกิดเป็นหญิงนั้นล้วนมีอยู่รอบตัว เช่น อาจถูกล่อลวง ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกเอารัดเอาเปรียบในการทำงาน ฯลฯ


ดังนั้น สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกสาวทุกท่านการเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างเหมาะสม และเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ปัจจุบันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และในวันนี้เราจึงหาแนวทาง 8 ข้อที่เห็นว่าเข้ากับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันมาแบ่งปันกันค่ะ ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ลองติดตามกันเลยค่ะ
      
       1. สร้างทัศนคติเกี่ยวกับรูปลักษณ์ที่เหมาะสม
      
       มีเด็กหญิงจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับการปลูกฝังในเรื่องของรูปลักษณ์จากผู้ปกครองว่าความงามที่แท้จริงนั้นไม่ต้องอาศัยเครื่องสำอางก็ได้ เมื่อไม่เข้าใจก็ทำให้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นหมกมุ่นอยู่กับความงามที่มีแต่จะทำให้เสียเวลา และสุขภาพ เช่น ต้องควบคุมอาหารเพราะห่วงอ้วน อยากตาโตก็ต้องหาคอนแทค เลนส์มาใส่ อยากดูแก้มสีชมพูป่องๆ ก็ต้องหาที่ปัดแก้มมาปัด บ้างก็ลงทุนจัดฟันปลอมๆ หรือสั่งซื้อวิตามินช่วยให้ผิวขาวที่เป็นอันตรายมาทาน พอคิดว่าสวยแล้ว จะใส่ชุดนักเรียนก็เลยต้องดัดแปลงบางจุดให้สั้น จะได้มีโอกาสโชว์ความงามที่ลงทุนไป ไหนจะทาเล็บ แต่งหน้าทาปาก สารพัดจะทำเพราะคิดว่า ทำแล้วตนเองจะดูดี (แบบมีอันตราย)
      
       ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า รูปลักษณ์ดังที่กล่าวในย่อหน้าข้างต้นเป็นรูปลักษณ์ที่เด็กเลียนแบบมาจากสื่อต่างๆ เช่น นิตยสารดารา นักแสดง นางแบบคิกขุอาโนเนะ แต่หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังการถ่ายทำนั้น ทีมงานนิตยสารต้องตัดต่อ ลบรอยย่น จุดด่างดำให้กับดารานางแบบไม่รู้เท่าไร
      
       ในความเป็นจริงนั้น เด็กผู้หญิงสามารถสวยได้โดยไม่ต้องพึ่งสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นแม้แต่น้อย หากสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูกส่งเสริมให้ลูกไปในแนวทางดังกล่าว พ่อแม่ควรกระตุกลูกเอาไว้บ้าง ด้วยการให้คำยืนยันกับลูกๆ ว่า พวกเธอนั้น "สวยในสายตาของพ่อแม่" แล้ว อย่างน้อยก็ช่วยให้เธอไม่หลงยึดติดกับความงามที่สื่อโฆษณายัดเยียดให้มากเกินไป
      
       2. เป็นต้นแบบที่ดีให้กับลูกสาว
      
       สำนวนดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ (และพ่อ) คงเหมาะกับข้อนี้ เพราะลูกสาวก็มักจะเลียนแบบผู้เป็นแม่ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจอยู่แล้ว ซึ่งในฐานะของแม่ ก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจ และบทบาทต่างๆ ที่ผู้หญิงควรทำได้ดี ด้านผู้เป็นพ่อก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน หากคุณแสดงให้ลูกเห็นถึงความไม่เท่าเทียมในบ้าน (เช่น บางครอบครัวยกให้พ่อเป็นใหญ่ และมักกดขี่ภรรยา) ลูกที่คุณรักก็จะซึมซับสิ่งเหล่านั้นไปโดยปริยาย ซึ่งคุณคงไม่ชอบใจแน่ หากในอนาคตต้องมาเห็นลูกตัวเองยอมเป็นเบี้ยล่างให้กับสามีของพวกเธอ เพราะเธอเห็นมาโดยตลอดว่า ที่บ้านของเธอก็เป็นแบบนี้
      
       นอกจากพ่อและแม่จะเป็นต้นแบบให้กับลูกสาวแล้ว การหาต้นแบบผู้หญิงเก่งให้ลูกก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยอาจจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท ที่เก่ง และประสบความสำเร็จในชีวิต เพื่อให้ลูกได้ทำความรู้จัก และเรียนรู้ถึงคุณลักษณะที่ดีภายในตัวของผู้หญิงเหล่านั้น
      
       3. มีเวลาให้กับลูก
      
       เปิดโอกาสให้ลูกคุย ซักถาม เล่าเรื่องต่างๆ กับพ่อแม่เสมอ หรือให้ความมั่นใจว่า ลูกสามารถคุยกับพ่อแม่ได้ทุกเรื่อง ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเหนียวแน่นให้มากที่สุด


       4. อย่านำค่านิยมทางสังคมมากดดันลูก
      
       เด็กควรมีหนทางการเติบโตในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ไม่จำเป็นว่าลูกสาวต้องเรียนในโรงเรียนสตรีเก่าแก่จึงจะเป็นเด็กหญิงที่เพียบพร้อม และประสบความสำเร็จในชีวิต หรือต้องเรียนพิเศษในสถาบันนั้นโน้นนี้ หรือต้องเล่นเปียโนเป็น ฯลฯ หรือแม้กระทั่ง ต้องสอบเอนทรานซ์ติดคณะเดียวกับคุณพ่อคุณแม่ ให้เด็กเป็นแบบที่เด็กต้องการจะเป็น น่าจะทำให้เขาเติบโตเป็นหญิงสาวที่มีความสุขได้ดีกว่า
      
       5. ให้เธอเชื่อมั่นในคุณค่าของตนเอง
      
       "คุณค่าในตัวเอง" เป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมี จะมีน้อยหรือมากก็ควรต้องมี พ่อแม่สามารถสร้างสิ่งนี้ให้กับลูกได้โดย พยายามชื่นชมเมื่อเธอประสบความสำเร็จ แสดงให้เธอรู้ว่าเธอนั้นมีความพิเศษในตัวเอง และเธอมีคุณค่ากับคุณมากแค่ไหน
      
       6. สอนให้ลูกสาวยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง
      
       การสอนให้ลูกสาวแต่งงานกับผู้ชายที่มีฐานะ ชีวิตจะได้สบาย ดูจะเป็นการสอนของแม่ที่อยู่ในละครหลังข่าวมากกว่าจะเป็นคำสอนของแม่ๆ ในชีวิตจริง เพราะในความเป็นจริงแล้ว สอนให้ลูกสาวยืนได้ด้วยตัวเองนั้นเจ๋งกว่าเป็นไหนๆ การสอนให้ลูกสาวยืนได้ด้วยตัวเองนั้นอาจต้องลองส่งภารกิจต่างๆ ให้เธอได้จัดการตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่ต้องแน่ใจด้วยว่าภารกิจเหล่านั้นเหมาะสมกับวัยของลูกด้วย ลองเป็นฝ่ายดูลูกสาวคนดีจัดการกับภารกิจเบื้องหน้า และคอยให้การสนับสนุนจนเธอทำสำเร็จ เท่านี้คุณก็มีโอกาสจะมีลูกที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเองเพิ่มขึ้นแล้ว
      
       7. หลีกเลี่ยงความเชื่อทางสังคม
       
       ผู้หญิงมักเก่งภาษามากกว่าคณิตศาสตร์ ผู้หญิงมักเล่นกีฬาไม่ค่อยเก่ง ผู้หญิงมักถนัดท่องจำมากกว่า ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่มักพบข้อความเหล่านี้ได้ทั่วทุกแห่ง แต่ไม่ควรยอมให้ความเชื่อเหล่านี้มาผูกมัดความสามารถของลูก หากลูกอยากลองเล่นกีฬา ก็น่าสนับสนุน หากลูกชอบทำโจทย์คณิตศาสตร์ ก็ยิ่งดี และหากเธอจะเลือกอนาคตโดยสนใจในสาขาอาชีพที่ไม่ใช่ทางเลือกของผู้หญิงส่วนมาก ก็ให้การสนับสนุนลูกในแนวทางนั้นดู เพราะในอนาคตกว่าที่ลูกจะเรียนจบ มันอาจกลายเป็นอาชีพที่เปิดโอกาสให้กับผู้หญิงมากขึ้นแล้วก็ได้
      
       8. สร้างทัศนคติเกี่ยวกับการมีครอบครัวที่เหมาะสม
      
       การมีชีวิตคู่ต้องการความเข้มแข็งทางจิตใจ หากลูกสาวมีความรักที่ไม่เหมาะสม เช่น รักคนที่มีเจ้าของอยู่แล้ว หรือต้องเผชิญกับการทำร้ายร่างกาย กดขี่ต่างๆ ลูกสาวก็ควรแกร่งมากพอที่จะโบกมือลาจากสถานการณ์ดังกล่าว เพราะในปัจจุบัน มีผู้หญิงจำนวนมากที่ตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และหาทางออกให้กับตัวเองไม่ได้ ทางที่ดีคือต้องเป็นแบบอย่างทางครอบครัว และสอนให้ลูกเข้มแข็งพอที่จะตัดใจ โดยเชื่อมั่นว่ามีชีวิตรักที่ดีรออยู่ในอนาคตอย่างแน่นอน

 ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

บทความว่าด้วยการลงโทษนักเรียนนักศึกษา

.          คำถาม   เมื่อนักศึกษาอ่านบทความนี้แล้วให้แสดงความคิดเห็นว่า  การลงโทษนักเรียนนักศึกษา ครูควรยึดหลักอะไรเป็นที่ตั้ง  และในภาพเป็นจริงแล้วควรที่จะมีขั้นตอนทำอย่างไรที่เห็นว่าถูกต้องและปลอดภัย  ให้นักศึกษาสรุปและตอบคำถามดังกล่าวนี้ลงในกระดาษ A4 และส่งอาจารย์ด้วย


        การลงโทษมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้หลาบจำ และไม่ทำพฤติกรรมเช่นนั้นอีก โดยต้องการให้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ถูกต้องดีงามตามที่สังคม กำหนด แนวคิดของจุดประสงค์ของการลงโทษยังคงเป็นอยู่ถึงแม้ว่าจะมีวิธีการที่ เปลี่ยนไป แต่จุดประสงค์หลักยังไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นการลงโทษกับประชาชนทั่วไป หรือการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา
       วิทยาการด้านการพิจารณาลงโทษได้ พัฒนาไปมาก มีการศึกษาวิจัยถึงระดับปริญญาเอก โดยสาระสำคัญต้องการให้การลงโทษเกิดประโยชน์กับสังคม และปัจเจกบุคคลมากที่สุด จะเห็นได้ว่ามีการปรับเปลี่ยนวิธีการลงโทษจากวิธีที่ใช้การทำร้ายร่างกายและ จิตใจ มาสู่การแก้ไขพฤติกรรม และการจำกัด หรือกักขัง ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคมหรือผู้อื่น
 การลงโทษนักเรียนนักศึกษา
       แนวคิด ว่าการลงโทษเป็นความจำเป็นในการสร้างคนให้มีคุณภาพ ถึงกับมีคำกล่าวว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” และเมื่อเอ่ยถึงคำว่า “ไม้เรียว” เชื่อว่าใครหลาย ๆ คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานระดับสูง หรือ เป็นเพียงพนักงานธรรมดา ๆ ที่เคยผ่านการอบรมบ่มเพาะจากโรงเรียน หรือสถาบันการศึกษามาอย่างเข้มข้นคงได้เคยสัมผัสและรู้จักรสชาติของไม้เรียว เป็นอย่างดี
       ถ้ามองย้อนกลับไปถึงนัยของการทำโทษนักเรียน นักศึกษาในอดีตดูเหมือนจะถูกทำโทษด้วยไม้เรียวกันเป็นประจำจนเป็นเรื่องปกติ และเมื่อมีงานเลี้ยงรุ่นของบรรดาศิษย์เก่าของโรงเรียนต่าง ๆ ที่มารวมตัวกันต่างนำเรื่องการโดนไม้เรียว หรือการทำโทษต่าง ๆ เช่น เดินเป็ด ขนมจีบ สองเกลี่ยวบิดพุง คาบไม้บรรทัด ขว้างด้วยแปลงลบกระดาน วิ่งรอบสนาม ล้างส้วม ทำงานหนักอื่น ๆ และที่หนักมากที่สุดคือ การเฆียนตีหน้าเสาธง หรือหน้าชั้นเรียน เรื่องการลงโทษและถูกทำโทษด้วยวิธีแปลก ๆ นี้เมื่อเวลาผ่านไป ได้ถูกนำมาพูดกันอย่างสนุกสนาน ยิ่งถ้าครูคนไหนดุ หรือทำโทษบ่อยมาก ๆ ก็จะเป็นที่จดจำของบรรดาลูกศิษย์ ซึ่งอาจเป็นทั้งที่รักและที่เกลี่ยดชังด้วยก็มี การทำโทษด้วยการใช้ไม้เรียว เฆี่ยน ตี หรือ การทำโทษด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่เกิดเป็นความบอบช้ำไม่เฉพาะด้านร่างกายเท่านั้นยังส่งผลต่อจิตใจของผู้ เรียน และผู้ปกครองอีกด้านหนึ่งด้วย
       จึงมีคำถามตามมาว่าครูควรจะ ลงโทษแบบไหน ถึงจะเรียกว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสม คำตอบที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ครูควรมีจิตสำนึกของความเป็นครูอันเป็นพื้นฐานที่แข็งแรง เพราะหากมีการทำโทษด้วยจิตสำนึกดังกล่าวถึงแม้ว่าจะออกมาในรูปแบบของการ เฆี่ยนตี แต่ก็ด้วยความมุ่งหมายที่ต้องการให้ผู้เรียนหลาบจำ ไม่ต้องการให้มีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของสังคมอีก ปัจจุบันด้วยจิตสำนึกของครู (บางคน) ขาดหายไปจึงเกิดกรณีเป็นข่าวในเรื่อง การทำโทษนักเรียนหรือ นักศึกษาเกินกว่าเหตุ และเมื่อพิจารณาแล้วการทำโทษในบางครั้งแทบจะไม่มีเยื่อใยความผูกพันระหว่าง ความเป็นครูกับศิษย์ ให้เห็นเลย
       แหล่งที่มา :  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กฎหมายปลดแอกแยกบริหาร “มัธยมศึกษา”จาก”ประถม”มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งเป็น 41 เขต

       "กฏหมายปลดแอกแยกบริหาร มัธยมศึกษาจากประถม มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งเป็น 41 เขต" [ออนไลน์] เข้าถึงได้จาก  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1279804317&grpid=01&catid มติชนออนไลน์เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2553

        จากประเด็นข่าวกฏหมายปลดแอกแยกบริหาร มัธยมศึกษาจากประถม มีผลบังคับใช้แล้ว เป็น 41 เขต  ให้ผู้เรียนวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นว่า จากแยกระบบการบริหารและการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ซึ่งเดิมอยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาเดียวกัน นักศึกษาสรุปสาระสำคัญที่แก้ไข และแสดงความคิดเห็นว่า การจัดการศึกษาโดยแบ่งส่วนนี้ได้ประโยชน์อย่างไร ในประเด็นตัวครู  ตัวเด็ก  ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และนักศึกษาคิดว่าจะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้นอย่างไรให้เหตุผลประกอบคำอธิบาย 

         เนื้อหาข่าว  ผู้สื่อข่าว”มติชน”รายงานว่า  เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม มีการประกาศ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553,    พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2553 และ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 กรกฎาคมนี้
         สาระสำคัญของ พ.ร.บ.ทั้ง 3 ฉบับ มีการแก้ไขปรับปรุงเพื่อรองรับการแยกเขตพื้นที่การศึกษา 185 เขตทั่วประเทศ ซึ่งมีระบบการบริหารและการจัดการศึกษาระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษารวมอยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา ออกเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึ
กษา เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและไม่เกิดปัญหาในการพัฒนาการศึกษา และจะทำให้การบริหารและการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพ อันจะเป็นการพัฒนาการศึกษาแก่นักเรียนในช่วงชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาให้สัมฤทธิผลและมีคุณภาพยิ่งขึ้น
         ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยคำแนะนำของสภาการศึกษา มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่การศึกษา โดยกำหนดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ พ.ร.บ.ใช้บังคับ
         ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ได้กล่าวถึงเรื่องการแยกเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา และเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ครั้งล่าสุดในที่ประชุมสัมมนา “แนวทางการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การศึกษาใหม่ 3 ฉบับ” จัดโดยสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทย เมื่อช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า ได้มอบนโยบายให้ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาเตรียมการรองรับการจัดตั้งเขตพื้นที่การมัธยมศึกษา โดยยึด 41 ศูนย์ประสานงานการจัดการมัธยมศึกษาเดิม ให้เป็นเขตพื้นที่การมัธยมศึกษา ทำหน้าที่ประสานงานและอำนวยความสะดวกให้กับโรงเรียนมัธยมฯ และส่งเสริมให้โรงเรียนมัธยมฯมีความคล่องตัว มีประสิทธิภาพในการบริหารงานมากขึ้น
         ส่วนด้านการบริหารงานบุคคลของโรงเรียนมัธยมฯ จะตั้งคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่การมัธยมศึกษาขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ ส่วนการจะเพิ่มจำนวนเขตพื้นที่การมัธยมศึกษาในอนาคตหรือไม่นั้น ต้องรอดูผลการดำเนินงานในเบื้องต้นก่อน
         ผู้สื่อข่าวข่าวรายงาน การแยกการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาออกจากโรงเรียนประถมศึกษานั้นเป็นผลมาจากการเรียกร้องของฝ่ายมัธยมศึกษา เพราะที่ผ่านมาครูโรงเรียนประถมศึกษามีจำนวนมากกมาว่า ทำให้การการเลือกผู้แทนและผู้บริหารในแต่ละระดับฝ่ายมัธยมมักจะไม่ได้รับเลือก

สำหรับรายละเอียดของ พ.ร.บ.ทั้ง 3 ฉบับมีดังนี้
        พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓
        มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษา  แห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“มาตรา ๓๗ การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษาโดยคำนึงถึงระดับของการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวนสถานศึกษา จำนวนประชากร วัฒนธรรมและความเหมาะสมด้านอื่นด้วย เว้นแต่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษาให้รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของสภาการศึกษา มีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน แบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาในกรณีที่สถานศึกษาใดจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาการกำหนดให้สถานศึกษาแห่งนั้นอยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาใด ให้ยึดระดับการศึกษาของสถานศึกษานั้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในกรณีที่เขตพื้นที่การศึกษาไม่อาจบริหารและจัดการได้ตามวรรคหนึ่ง กระทรวงอาจจัดให้มีการศึกษาขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้เพื่อเสริมการบริหารและการจัดการของเขตพื้นที่การศึกษาก็ได้
(๑) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาอารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการหรือทุพพลภาพ
(๒) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัย
(๓) การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ
(๔) การจัดการศึกษาทางไกล และการจัดการศึกษาที่ให้บริการในหลายเขตพื้นที่การศึกษา”
        มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคห้าของมาตรา ๓๘ แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕
“ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสถานศึกษาเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเขตพื้นที่การศึกษาใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ๒)พ.ศ. ๒๕๕๓
        มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความในมาตรา ๓๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
        “มาตรา ๓๓ การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่การศึกษาโดยคำนึงถึงระดับของการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวนสถานศึกษา จำนวนประชากร วัฒนธรรมและความเหมาะสมด้านอื่นด้วย เว้นแต่การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศึกษาให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการโดยคำแนะนำของสภาการศึกษามีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนดเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อการบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานแบ่งเป็นเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ในกรณีที่สถานศึกษาใดจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษาการกำหนดให้สถานศึกษาแห่งนั้นอยู่ในเขตพื้นที่การศึกษาใด ให้ยึดระดับการศึกษาของสถานศึกษานั้นเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
         ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษาหรือมีเหตุผลความจำเป็นอย่างอื่นตามสภาพการจัดการศึกษาบางประเภท คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอาจประกาศกำหนดให้ขยายการบริการการศึกษาขั้นพื้นฐานของเขตพื้นที่การศึกษาหนึ่งไปในเขตพื้นที่การศึกษาอื่นได้”   
         มาตรา ๔ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นวรรคห้าของมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖
         “ในการดำเนินการตามวรรคหนึ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสถานศึกษาเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นว่าจะอยู่ในอำนาจหน้าที่ของเขตพื้นที่การศึกษาใด ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน”
มาตรา ๕ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการโดยคำแนะนำของสภาการศึกษามีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อกำหนดหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่การศึกษาสำหรับเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาให้แล้วเสร็จภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
         พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ๓)พ.ศ. ๒๕๕๓
         มาตรา ๓ ให้ยกเลิกความใน (๕) ของมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
“(๕) กรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาซึ่งมาจากการเลือกตั้งจำนวนสิบสองคน ประกอบด้วย ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษาฝ่ายละหนึ่งคน ผู้แทนผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้บริหารสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่นในหน่วยงานการศึกษาตามที่ ก.ค.ศ. กำหนดซึ่งสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษาฝ่ายละหนึ่งคน ผู้แทนข้าราชการครูจำนวนห้าคน ซึ่งเลือกจากข้าราชการครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจำนวนสามคน ข้าราชการครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาจำนวนหนึ่งคน และข้าราชการครูสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจำนวนหนึ่งคน ผู้แทนข้าราชการครูสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือสังกัดกระทรวงวัฒนธรรมจำนวนหนึ่งคนและผู้แทนบุคลากรทางการศึกษาอื่นสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและมัธยมศึกษาฝ่ายละหนึ่งคน”
        มาตรา ๔ ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน
        “มาตรา ๒๑ ให้มีคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เรียกโดยย่อว่า “อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา”
และคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเรียกโดยย่อว่า “อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา”
        สำหรับแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา แล้วแต่กรณีซึ่งประกอบด้วย
        (๑) ประธานอนุกรรมการซึ่งอนุกรรมการเลือกกันเองจากผู้ทรงคุณวุฒิตาม (๓) ในการนี้ให้ถือว่าอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตาม (๓) มีจำนวนเท่าที่มีอยู่
        (๒) อนุกรรมการโดยตำแหน่งจำนวนสองคน ได้แก่ ผู้แทน ก.ค.ศ. และผู้แทนคุรุสภาซึ่งคัดเลือกจากผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ หรือประสบการณ์ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการศึกษาด้านกฎหมาย หรือด้านการเงินการคลัง
        (๓) อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสี่คน ซึ่งคัดเลือกจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์ด้านการบริหารงานบุคคล ด้านการศึกษา ด้านกฎหมาย และด้านการเงินการคลังด้านละหนึ่งคน
        (๔) อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหรือเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา แล้วแต่กรณี จำนวนสามคน ประกอบด้วยผู้แทนผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้บริหารสถานศึกษาที่เรียกชื่ออย่างอื่นในหน่วยงานการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาจำนวนหนึ่งคน ผู้แทนข้าราชการครูจำนวนหนึ่งคน และผู้แทนบุคลากรทางการศึกษาอื่นจำนวนหนึ่งคน”
        มาตรา ๕ ให้กรรมการ ก.ค.ศ. ในส่วนของกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามมาตรา ๗ (๕) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้มีการเลือกตั้งกรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ
ในการนี้ ให้กรรมการผู้แทนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการ ก.ค.ศ. ในส่วนของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และมิให้นับวาระการดำรงตำแหน่งเป็นวาระการดำรงตำแหน่งต่อเนื่อง
        มาตรา ๖ ให้ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาที่มีอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับทำหน้าที่เป็น อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ ถ้ากรณีมีอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. ตามมาตรา ๒๑ (๔) คนใดที่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ให้อนุกรรมการผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง โดยให้ถือว่า อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาในขณะนั้นมีองค์ประกอบเท่าที่เหลืออยู่ และยังคงทำหน้าที่ต่อไปจนครบวาระแล้วจึงดำเนินการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งอนุกรรมการใน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้
       ในระหว่างที่ยังมิได้ดำเนินการให้มี อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ให้ ก.ค.ศ.แต่งตั้ง อ.ก.ค.ศ. วิสามัญ ขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าการปฏิบัติหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ. วิสามัญนั้น มีผลผูกพันและใช้บังคับได้ดังเช่น อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
        มาตรา ๗ การใดอยู่ระหว่างดำเนินการหรือเคยดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เฉพาะเรื่องการบริหารงานบุคคล การดำเนินการทางวินัยและการอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา การดำเนินการต่อไปในเรื่องนั้นจะสมควรดำเนินการประการใด และอยู่ในอำนาจของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหรืออ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ ก.ค.ศ. กำหนด

โพลหนุนยกเครื่องกฏหมายทำแท้ง"นายกฯ"ห่วง

"โพลหนุนยกเครื่องกฏหมายทำแท้ง" [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.rssthai.com/reader.php?t=local&r=17268
  หนังสือพิมพ์เดลินิวส์เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2553

จากประเด็นปัญหาดังกล่าว ให้ผู้เรียนอ่านเนื้อหาข่าว และสรุปในฐานะนักศึกษาที่เรียนวิชากฏหมายการศึกษา ผู้เรียนเป็นนักศึกษาวิชาชีพครูจะมีวิธีการแก้ไขปัญหาและป้องกันนักเรียนที่อยู่ในความดูแลอย่างไร  เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และรู้เท่าทันต่อการเหตุการณ์นี้ขึ้น เขียนอธิบายแนวคิดและวิธีการป้องกันและแก้ไขมิให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในสังคมไทย

เนื้อหาข่าว 
           “มาร์ค”ห่วงการทำแท้งชี้เป็นปัญหาใหญ่ สั่งให้ศึกษาหาทางรณรงค์ โพล หนุนยกเครื่องกม.ทำแท้ง"
วันนี้ 22 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม น.ส.รัญจกร จันทมนัส ผู้ช่วยพยาบาล ที่ลอบเปิดคลินิกเถื่อนรับทำแท้ง พร้อมกับนำซากศพทารกที่ถูกทำแท้งไปให้ นายสุเทพ ชบางบอน กับนายสุชาติ ภูมี สัปเหร่อวัดไผ่เงินโชตนาราม ย่านบางโคล่ ที่ถูกจับกุมเช่นยกันเผาทำลาย แต่เตาเผาศพเกิดชำรุดทำให้ต้องนำซากศพไปเก็บไว้ในช่องเก็บศพของโกดังเก็บศพภายในวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจไปค้นเจอซากศพทารกทั้งหมด 2002 ศพ จนซีเอ็นเอ็นเผยแพร่ข่าวไปทั่วโลก ภายหลังมีประชาชนที่นิยมเล่นหวยพากันนำสิ่งของไปเซ่นไหว้ที่โกดังเก็บศพของวัดไผ่เงินเพื่อหาเลขเด็ดไปสู้กับเจ้ามือหวยใต้ดิน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
           ความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าวเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 21 พ.ย.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ถึงกรณีพบซากทารก 2002 ศพ ที่วัดไผ่เงินโชตนาราม ว่า ชัดเจนว่ายังมีปัญหาเรื่องการทำแท้งและการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม ซึ่งเราต้องช่วยกันทำให้ปัญหานี้ไม่เกิดขึ้นในสังคมของเรา ความจริงตั้งแต่ปีที่แล้ว ตนได้ตั้งประเด็นเรื่องปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมของเด็กและเยาวชนว่ากำลังเป็นปัญหาใหญ่ และมอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมกับหน่วยงานอื่น เร่งรณรงค์เรื่องค่านิยมต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ แต่ที่ผ่านมาเรามักจะเข้าไปไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเสี่ยงที่แท้จริง การรณรงค์ส่วนใหญ่จึงทำแบบทั่วไป  ขณะนี้ตนได้ให้ศึกษาเพื่อทำให้เราเข้าตรงถึงกลุ่มเด็กและเยาวชนในกลุ่มเสี่ยงที่มีปัญหาได้ พร้อมๆกับต้องปรับปรุงเรื่องการศึกษาให้เด็กในลักษณะครอบครัวศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมตอนปลายไปถึงชั้นมัธยม เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ไม่ให้ลุกลามบานปลายหรือเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายด้วย
           “ส่วนกฎหมายการทำแท้งนั้น ผมขอยืนยันว่าในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว คือมีความยืดหยุ่นพอสมควร โดยหลักการทำแท้งถือว่าผิดกฎหมาย แต่มีข้อยกเว้นให้เพื่อประโยชน์เรื่องการดูแลสุขภาพ โดยแพทยสภาได้ออกหลักเกณฑ์แนวปฏิบัติต่างๆ ซึ่งผมเห็นว่ามีความเหมาะสมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแก้ไข แต่สิ่งที่เราจะต้องช่วยกันคือให้ความรู้ และสร้างค่านิยมที่ถูกต้องในหมู่เด็กและเยาวชน”นายกฯ กล่าว
           ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณโกดังเก็บศพหลังเมรุวัดไผ่เงินโชตนาราม ถนนจันทน์ ซอย 43 แยก 22 แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม ซึ่งเป็นสถานที่ซุกซ่อนซากทารก 2002 ศพ มีประชาชนทยอยเดินทางมาจุดธูปเทียนวางเครื่องเซ่นไหว้ทั้งอาหารคาวหวาน ขนม นม ผลไม้ และของเล่นอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะหน้าช่องเก็บศพหมายเลข 9 หมายเลข 10 และหมายเลข 17 ซึ่งเป็นที่เก็บซากทารกพบว่ามีเครื่องเซ่นไหว้จำนวนมากวางไว้กลาดเกลื่อน
           ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สายตรวจ สน.วัดพระยาไกร ได้เข้าตรวจสอบที่ป่ากล้วยริมคลองติดกำแพงหลังวัดไผ่เงินฯ หลังจากได้รับแจ้งทางทรศัพท์ว่า พบซากทารกอีก 20 ศพ ถูกนำไปฝังเอาไว้บริเวณดังกล่าว แต่เมื่อตรวสอบอย่างละเอียดแล้วกลับไม่พบ คาดว่าเป็นการกระทำของผู้ไม่หวังดีที่สร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย
           จากนั้นเมื่อเวลา 10.30 น. วันเดียวกันนี้ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาที่วัดไผ่เงินฯเพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องนี้กับ พระครูวิจิตร สรคุณ เจ้าอาวาสวัดไผ่เงินโชตนาราม แต่เนื่องจากเจ้าอาวาสอาพาธตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงมอบหมายให้ พระทิวา ธรรมชัยโย เลาขานุการมาพบแทน โดย นายองอาจ ใช้เวลาพูดคุยนาน 30 นาที ก่อนจะนำน้ำอัดลม นมถั่วเหลือง และนมกล่องไปจุดธูปเซ่นไหว้ที่หน้าโกดังเก็บศพของวัดด้วย
           นายองอาจ เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 พ.ย.นี้ จะมีพิธีทำบุญครั้งใหญ่นิมนต์พระสงฆ์ทั้งวัดไผ่เงินฯที่มีกว่า 40 รูป มาสวดมาติกา บังสุกุล และถวายสังฆทานให้กับทารกทีเสียชีวิต โดยพิธีจะเริ่มตั้งแต่เวลา 09.30 น.เป็นต้นไป หากประชาชนท่านใดอยากร่วมทำบุญด้วยก็ขอให้เดินทางมาในวันดังกล่าว ทั้งนี้ ตนจะเดินทางมาหารือแนวทางการดำเนินงานร่วมกับทางวัด สำนักงานเขตบางคอแหลมและ สน.วัดพระยาไกร อย่างเป็นทางการอีกครั้ง ในเวลา 11.00 น. วันที่ 22 พ.ย.นนี้
           เมื่อถามว่า พอคดีสิ้นสุดจะทำพิธีฌาปนกิจทารกทั้ง 2002 ศพหรือไม่ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบว่า คงต้องรอทางนิติเวชชันสูตรให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะปรึกษากับทางพระชั้นผู้ใหญ่ของวัดไผ่เงินอีกครั้ง เท่าที่ลองสอบถามข้อมูลทราบว่าคนโบราณมีความเชื่อว่าไม่ให้เผาศพเด็กทารกเนื่องจากขณะที่เขามาเกิดยังเพียบพร้อมด้วยศีล 5 ประการ ยังไม่มีฟันแม้กระทั่งพูดจาโป้ปดก็ยังทำไม่ได้ แต่หากมีความจำเป็นต้องฌาปนกิจกันจริงๆ ก็ต้องปรึกษากับหลายๆฝ่ายเพื่อให้เกิดความถูกต้องตามขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยกันต่อไป
           ด้าน พ.ต.อ.เมธี รักพันธุ์ ผกก.สน.วัดพระยาไกร กล่าวว่า หลังจากที่ นายสุเทพ ชะบางบอน และนายสุชาติ ภูมี สองผู้ต้องหาที่ศาลให้ประกันตัวออกมาแล้วก็กลับไปพักอยู่ในวัดเหมือนเดิม แต่เพื่อความไม่ประมาทตนได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนคอยเฝ้าติดตามพฤติกรรมอยู่ตลอดเพราะเกรงว่าอาจหลบหนี ส่วนกรณีที่วัดไผ่เงินจะทำบุญครั้งใหญ่ในวันที่ 27 พ.ย.นี้ คาดว่าจะมีประชาชนมาร่วมงานหลายพันคน จึงจัดเตรียมกำลังตำรวจในโรงพักพร้อมทั้งอาสาสมัครกว่า 100 นาย มาคอยอำนวยความสะดวกและช่วยกันสอดส่องดูแลมิจฉาชีพที่อาจแฝงตัวเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่
          ผู้สื่อข่าวรายงานมาด้วยว่า ขณะนี้เริ่มมีนักเสี่ยงโชคจากต่างจังหวัดเดินทางมาที่วัดไผ่เงินพร้อมกับนำเครื่องเซ่นไหว้มาจุดธูปขอหวยที่หน้าโกดังเก็บศพของวัดกันบ้างแล้ว โดยนักเสี่ยงโชคเชื่อกันว่าหากขอโชคลาภกับวิญญาณเด็กจะสมหวังเร็วขึ้นเนื่องจากมีอาถรรพ์แรงกว่าวิญญาณประเภทอื่นๆ
          “อัศวิน”สั่งตรวจจับคลินิกทำแท้ง  ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษา (สบ.10) รรท.ผบช.ภ.1 ได้กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวลือว่า ย่านรังสิต จ.ปทุมธานี มีคลินิคทำแท้งเถื่อนกระจายอยู่เป็นจำนวนมากว่า ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.วัฒนา เขตร์สมุทร ผบก.ภ.ปทุมธานี ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนลงพื้นที่หาข่าวแหล่งที่ตั้งรวมถึงการเปิดให้บริการของคลีนิคทำแท้งเถื่อนแล้ว หากพบเจอจะดำเนินการตามกฏหมายทันทีโดยไม่มีการละเว้นใดๆทั้งนั้น แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการกระทำผิดแต่อย่างใด
           นายสาธิต  ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีพบซากทารกที่วัดไผ่เงินฯว่า ถ้าจะแก้ปัญหานี้ให้ตรงจุด จำเป็นต้องมีกฎหมายทำแท้งที่ถูกต้อง  ด้วยความสมัครใจ และการร้องขอโดยมีเหตุจำเป็น ตนจะร่วมกับกลุ่มส.ส.ที่มีความคิดเห็นตรงกันศึกษาข้อมูลผลกระทบ และสิ่งที่ได้รับเพื่อเสนอกฎหมายฉบับนี้ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในสมัยหน้า โดยจะใช้ชื่อว่า “กฎหมายทำแท้งโดยถูกต้องด้วยความสมัครใจและร้องขอโดยมีเหตุจำเป็น” 
           นายสาธิต กล่าวต่อว่า เบื้องต้นมีหลักการดังนี้  คือ ให้ผู้ปกครองของผู้เยาว์  หรือผู้ตั้งครรภ์ สมัครใจและร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ ว่าตนเองมีความจำเป็นที่จะขอทำแท้ง ยกตัวอย่าง  1.มารดาและบิดาของทารกไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กหลังคลอดได้เนื่องจากวัย ฐานะทางการเงิน สภาพแวดล้อม  2.เพราะถูกคนที่เป็นบิดาทอดทิ้ง และมารดาไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดูบุตร 3. การถูกกระทำละเมิดกฎหมายด้วยการข่มขืน  จนตั้งครรภ์  และสมัครใจไม่เอาทารกไว้   4.ทารกในครรภ์มีปัญหาโรคติดต่อ  5. ทารกในครรภ์มีความผิดปกติ  เกิดมาแล้วอาจพิการ  หรือไม่ปกติ โดยหลักการในข้อ.3-5  อาจจะมีกฎหมายกำหนดไว้แล้ว  แต่ต้องนำมารวมในฉบับเดียวกัน
           ส่วน นายอิสระ  สมชัย รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของนุษย์  กล่าวว่า  ตอนนี้ได้วางมาตรการแก้ไขปัญหาไว้ 6 มาตรการ  โดยจะประชุมกันในวันที่ 22 พ.ย.นี้  ซึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาครอบคลุมทุกด้านเมื่อผ่านที่ประชุมแล้วจะนำเข้าเสนอต่อครม.  และเตรียมผลักดันเป็นวาระแห่งชาติ  แต่สิ่งที่สำคัญคือการเน้นให้ความรู้กับเด็กเรื่องเพศศึกษาเพราะต่อไปนี้เรื่องเพศศึกษาไม่ใช่เรื่องน่าอาย  แต่ต้องสอนให้เด็กเรียนรู้การป้องกันที่ถูกต้อง  และพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกหน่วยงานเพื่อเข้าไปแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
สวนดุสิตโพลพบคนตกตะลึง
           ขณะที่ สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับเสียงสะท้อนกรณีการทำแท้งจากการพบซากทารกที่เกิดจากการทำแท้งครั้งนี้จากประชาชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล, 1,458 คน  ระหว่างวันที่ 18-21 พ.ย.ที่ผ่านมา  โดยข่าวการพบซากศพทารก 2002 ศพ ที่วัดไผ่เงินสร้างความตกตะลึงและตกใจว่าทำไมถึงมีคนทำแท้งกันมากมายขนาดนี้ถึง 62.18 %  และประชาชนคิดว่าการทำแท้งเป็นสิทธิส่วนบุคคล และมาจากความจำเป็นของแต่ละคน 47.17 % ไม่เป็น 22.64% และไม่แน่ใจ 30.19%
           สำหรับกรณีที่มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ตรงกับปัญหานี้ออกมาใช้ ประชาชนเห็นด้วย 65.62% ไม่เห็นด้วย 12.66% ไม่แน่ใจ 21.72 % ประชาชนคิดว่าสภาพสังคมย่ำแย่ลงอย่างมาก ทำให้เกิดพฤติกรรม การลอกเลียนแบบอย่างผิดๆ 34.38% สังคมไทยมีจิตใจตกต่ำ แย่ลง ขาดคุณธรรมและจริยธรรม 32.81% ส่วนแนวทางป้องกันแก้ไขเรื่องนี้ ประชาชนคิดว่าการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษา การป้องกัน การคุมกำเนิด ให้เหมาะสมกับเด็กตามระดับชั้นเรียนมีจำนวน 36.09 % พ่อแม่คนในครอบครัวดูแลเอาใจใส่อบรมบุตรหลานอยางใกล้ชิด 29.14% ปราบปรามคลินิกทำแท้งเถื่อน 15.50%

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แนวทางการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง









ใบงานครั้งที่ 1

ให้นักศึกษาอ่านและเขียนลงในกระดาษคำตอบดังต่อไปนี้

ข้อที่ 1 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพ คำว่า"คุณภาพ" ของผู้เรียนที่ พระราชบัญญัติการศึกษา เขียนไว้ให้พิจารณาจากสิ่งใดบ้าง  อย่างไร จงอธิบาย

ข้อ 2 มีปัจจัยใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาคุณภาพผู้เรียน  ให้นักศึกษาเลือกปัจจัยหลัก 3 ปัจจัยและอธิบายถึงวิธีการหรือแนวทางปฏิบัติของผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเพื่อให้คุณภาพของผู้เรียนจากข้อ 1 เกิดขึ้นกับผู้เรียนมากที่สุด

ข้อ 3 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 เป็นกรอบนโยบายและแนวทางแห่งรัฐในการปฏิรูปการศึกษาของชาติโดยหน่วยงานทางการศึกษาของประเทศได้ดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่กำหนดขึ้นดังกล่าว ตั้งแต่ปี พ.ศ.2542 จนถึงปัจจุบัน (ปี 2533) นับเวลาได้ประมาณ 11 ปี
          จากผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการการศึกษาวุฒิสภา ได้สรุปสาระสำคัญของสภาพการจัดการศึกษาของไทยในทศวรรษที่ผ่านมาไว้อย่างไรบ้าง  มีเหตุผลที่จะยอมรับได้หรือไม่อย่างไรอธิบาย ตามประเด็นต่อไปนี้  3.1) การศึกษาขั้นพื้นฐาน
                          3.2) การอาชีวศึกษา
                          3.3) ระดับอุดมศึกษา